[SF - B2ST] Fiction and Fact 2 (I'm sorry) (JunSeung) - [SF - B2ST] Fiction and Fact 2 (I'm sorry) (JunSeung) นิยาย [SF - B2ST] Fiction and Fact 2 (I'm sorry) (JunSeung) : Dek-D.com - Writer

    [SF - B2ST] Fiction and Fact 2 (I'm sorry) (JunSeung)

    ถ้าหากว่าคุณกำลังรักใครอยู่ล่ะก็ อย่าลืมบอกให้เขารู้ด้วยล่ะ ไม่อย่างนั้นมันอาจจะสายเกินไป...เหมือนอย่างผม

    ผู้เข้าชมรวม

    518

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    518

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    3
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  18 พ.ย. 56 / 22:46 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
     

    นี่เป็น SF ภาคต่อของเรื่อง Fiction and Fact ค่ะ
    .
    .
    .

     

    ผมจะเขียนมันขึ้นมาใหม่ เรื่องราวของเราจะไม่มีวันจบลง
    ในตอนนี้ผมจะฝังความเป็นจริงลงในร่างกายของผม
    ผมจะเขียนมันขึ้นมาอีกครั้ง เริ่มด้วยจุดเริ่มต้นที่ผมและคุณกำลังยิ้มแย้มอย่างมีความสุข

    แต่เมื่อคุณทิ้งผมไป ฉากของนวนิยายเรื่องนี้ก็คือห้องเล็กๆ ที่ไร้ซึ่งทางออก...

    ในตอนนี้ ผมกำลังเขียนเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความสุข
    แต่ทั้งหมด...มันก็เป็นได้เพียงความปรารถนาเท่านั้น...



    Theme song
     



    .
    .
    .
    .
    .

    ขอบคุณธีมสวยๆ จาก TENPOINT

     

     

    © Tenpoints!
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      I’m sorry

       

      ถ้าหากว่าคุณกำลังรักใครอยู่ล่ะก็ อย่าลืมบอกให้เขารู้ด้วยล่ะ

      ไม่อย่างนั้นมันอาจจะสายเกินไป...เหมือนอย่างผม

       

      사랑한다는 아끼지 말고 많이 해줄

      ไม่ควรเก็บคำว่าว่ารักเอาไว้เลย ผมควรจะพูดมันออกไป

       

      ปัง! ปัง! ปัง!

      ผมออกแรงเคาะประตูห้องนอนของน้องชายบุญธรรมเสียงดังลั่นบ้านเพื่อให้คนที่อยู่นอนอยู่ข้างในตื่นขึ้น เสียงกุกกักๆ ในห้องนั้นเป็นสัญญาณบอกว่าเขาคงลุกจากเตียงแล้ว รออยู่สักพักประตูห้องก็ถูกเปิดออก เบื้องหลังประตูเป็นร่างของคนคุ้นเคยที่มีสภาพไม่ค่อยเรียบร้อยนัก ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ายับยู่ยี่ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคนตรงหน้านี้นอนหรือเต้นบนเตียงมาทั้งคืนกันแน่

      เชื่อได้เลยว่าอีกไม่นานผมคงต้องขอให้พ่อเปลี่ยนประตูห้องให้ใหม่แน่ๆ

      ทำไมล่ะ

      ก็พี่เล่นเคาะประตูซะจนคนข้างบ้านยังสะดุ้งตื่นแบบนี้ ประตูห้องผมคงอยู่ทนนานหรอก

      เคาะเบาๆ นายก็ไม่ยอมตื่นหรอก

      จางฮยอนซึงทำหน้าเหนื่อยหน่ายใจ ก่อนจะโบกมือไล่ผม ผมส่งสายตาเร่งเขาให้รีบอาบน้ำก่อนจะกลับเข้าห้องของตัวเองเพื่ออาบน้ำบ้าง

      ผมชื่อ ยงจุนฮยองเป็นลูกบุญธรรมของตระกูลจาง พ่อกับแม่ของฮยอนซึงทำงานอยู่ที่ต่างประเทศ ท่านทั้งสองไปพบผมที่บ้านเด็กกำพร้าซึ่งอยู่ในโบสถ์แห่งหนึ่ง และเก็บมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน นับตั้งแต่นั้น ผมก็กลายเป็นพี่ชายบุญธรรมของฮยอนซึงเรื่อยมา ผมมีหน้าที่คอยดูแลฮยอนซึงแทนพ่อและแม่ของเขาซึ่งไม่ค่อยได้กลับเกาหลี ผมพยายามจะเป็นพี่ชายที่ดี และเป็น...แฟนที่ดี

      แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังทำได้ดีไม่พอ ใช่ เรารักกัน แต่ผมกลับไม่เคยบอกรักฮยอนซึงเลยสักครั้ง อีกฝ่ายก็ไม่เคยถามหรือไม่เคยร้องขออะไร เอาแต่บอกว่าเขารู้ รู้ได้จากการกระทำของผม แต่มันไม่ดีเลย มันเหมือนกับผมหลอกใช้ความเชื่อใจของเขา มีหลายครั้งที่ผมอยากจะพูดออกไป แต่ปากก็หนักจนพูดไม่ได้ แม้จะรู้ดีว่าโอกาสที่จะพูดไม่ได้มีบ่อยนัก แต่ผมก็เลือกที่ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ...

      ผมนั่งมองฮยอนซึงที่ก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าที่ผมเตรียมไว้ให้ เขาก็ยังเหมือนเดิม รักผม มีความสุขกับทุกอย่างที่ผมทำให้ บางครั้งผมเผลอเย็นชาใส่เขาไปบ้าง แต่เขาก็ไม่แม้แต่จะปริปากบ่น ฮยอนซึงยังคงเป็นฮยอนซึงอยู่อย่างนั้น...

      พ่อกับแม่บอกว่าจะกลับมาวันนี้นะผมพูดขึ้น

      หา? ที่ว่าจะกลับมาช่วงนี้คือวันนี้เลยเหรอ

      อืม พวกท่านเพิ่งโทรมาเมื่อกี้นี่เอง

      ผมโกหก...ที่จริงพวกท่านโทรมาบอกผมสักพักแล้วว่าจะกลับมาวันนี้ แต่ผมก็ไม่ได้บอกฮยอนซึง เพราะอะไรกันนะ ทำไมผมถึงเลือกที่จะบอกเขาวันนี้...วันที่พวกท่านกำลังจะกลับมา

      จู่ๆ ฮยอนซึงก็นิ่งไปเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง

      ฮยอนซึงอา เป็นอะไรไป อิ่มแล้วเหรอ

      อ๋อ เปล่า

      แล้วเป็นอะไร นั่งนิ่งเชียว

      ฮยอนซึงเงียบไป เขามองผมอย่างลังเลเหมือนกำลังคิดอยู่ว่าควรจะพูดกับผมตรงๆ มั้ย นี่เป็นอีกปัญหาหนึ่งของผม ผมไม่เคยรู้เลยว่าอีกฝ่ายคิดหรือมีเรื่องทุกข์ใจอะไรอยู่หรือเปล่า บางทีเขาอาจจะเคยคิดมากเรื่องที่ผมไม่เคยบอกรักเขาเลยก็ได้ แต่ผมก็ไม่ใส่ใจ เลือกที่จะเมินมัน ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เฮ้อ ผมยังห่างไกลจากคำว่า แฟนที่ดี อีกมากเลยล่ะ

      พี่... ถ้าวันนึง พ่อกับแม่รู้เรื่องของเราสองคน จะทำยังไงดี

      ในที่สุดฮยอนซึงก็พูดออกมา อืม...ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยแฮะ ผม...ไม่เคยใส่ใจอะไรเลยจริงๆ

      ก็ยอมรับ และอธิบายให้ท่านเข้าใจ พ่อกับแม่ของนายไม่ใช่คนใจร้ายขนาดนั้นหรอกนะ

      แต่ผมกลัวนะ กลัวว่าเราอาจจะต้องเลิกกัน

      อย่าพูดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึงสิผมเอื้อมมือไปลูบหัวเขาเบาๆ แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ เราไม่เลิกกันหรอก พี่ไม่เลิกกับนายแน่ๆ

      ผมพูดจริงๆ นะ ถึงผมจะไม่เคยบอกรักเขาเลยสักครั้ง แต่ในใจผมรู้สึก รักเขาจริงๆ ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีนิลของเขา พยายามสื่อความรู้สึกผ่านดวงตาแทนคำพูด ฉันรักนาย ได้โปรด...รับรู้ความรู้สึกนี้โดยที่ผมไม่ต้องพูดมันออกไปด้วยเถอะ

      ขณะที่ริมฝีปากของเรากำลังจะแตะกัน เสียงของหนักๆ หล่นกระแทกพื้นก็ทำให้ผมสะดุ้งจนต้องรีบผละออกทันที แม่บุญธรรมกำลังยืนทำตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ส่วนพ่อบุญธรรมมองมาทางเราอย่างไม่เชื่อสายตา ที่พื้นมีกระเป๋าถือของแม่ตกอยู่ คิดว่านั่นคงเป็นที่มาของเสียงเมื่อกี้ ผมและฮยอนซึงรีบลุกขึ้นยืน แต่ไม่รู้จะพูดอะไรดี ฮยอนซึงเอาแต่ก้มหน้ามองพื้นสลับกับมองพ่อและแม่ ส่วนผมพยายามคิดหาคำอธิบายร้อยแปดให้พวกท่านเข้าใจในความรักของเรา แต่แล้วสายตาของพวกท่านเริ่มเปลี่ยนจากความตกใจเป็น...

      ความผิดหวัง

      นี่มันอะไรกัน!? ไหนใครสักคนลองอธิบายให้แม่กับพ่อฟังหน่อยซิ

      แม่บุญธรรมคือคนที่ถามขึ้นมาเป็นคนแรก ผมและฮยอนซึงหันมามองหน้ากัน ผมจะควรจะตอบว่าอะไร ไม่สิ ผมควรจะยอมรับ ผมควรจะพูดออกไปเลยว่าผมรักฮยอนซึง ผมอยากดูแลเขา

      จุนฮยอง!? ไหนลองอธิบายให้แม่กับพ่อฟังซิว่าเมื่อกี้พวกลูกกำลังทำอะไรกัน

      ผม...

      นั่นเป็นสิ่งที่พี่น้องทำกันงั้นเหรอ แถมลูกสองคนยังเป็นผู้ชายทั้งคู่!

      ผมไม่ได้คิดกับฮยอนซึงแค่พี่น้องครับ

      ลูกว่ายังไงนะ!?”

      “ผม...ผม...” ได้โปรด...พูดออกไปสิจุนฮยอง!

      จิตใจของผมตีกันเองอยู่ภายใน เหลือบไปมองฮยอนซึง เขาก็มองผมด้วยประกายแห่งความหวังในดวงตาว่าผมจะพูด มันออกมา แบบนี้นี่เอง ฮยอนซึงก็อยากได้ยินคำๆ นั้นเหมือนกันสินะ ผม...ควรจะพูดมันออกไป

      “ผม...”

      “...”

       

      เราไม่เลิกกันหรอก พี่ไม่เลิกกับนายแน่ๆ

       

      ขอโทษนะ...จางฮยอนซึง

      ผมควรจะรักษาอนาคตที่สวยงามของฮยอนซึงไว้ ขอเพียงอย่างเดียว...ขอเพียงเขารู้ว่าผมรักเขามากแค่ไหน ได้โปรดเถอะพระเจ้า...ช่วยให้เขารับรู้ถึงหัวใจของผมด้วยเถอะ

      “ผมขอโทษครับ”

      นั่นคือทั้งหมดที่ผมพูดออกไป...

      แม่ครับ ผมขอร้อง ผมรู้ว่าผมเป็นลูกที่ไม่ดี แต่อย่ากีดกันเราเลยนะครับ ผมรักพี่จุนฮยองจริงๆ

      น้ำตาของฮยอนซึงไหลพรั่งพรู ผมอยากจะดึงเขาเข้ามากอดและบอกว่าผมรักเขามาแค่ไหน แต่ผมก็ไม่ทำ...ทั้งๆ ที่เขายังคงยืนยัน ยืนยันว่าเขารักผมขนาดนั้น

      ลูกสองคนเป็นพี่น้องกัน ลูกสองคนรักกันไม่ได้และถึงแม้ว่าจุนฮยองจะเป็นลูกบุญธรรม ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่ในทางกฎหมายพวกลูกก็เป็นพี่น้องกัน อีกอย่างลูกสองคนเป็นผู้ชายเหมือนกัน ยังไงก็รักกันไม่ได้!!”

      ถ้าอย่างนั้นก็ตัดผมออกจากการเป็นลูกเถอะครับ สิ่งที่ผมทำก็ไม่ต่างอะไรกับการเนรคุณ

      ฮยอนซึงมองผมด้วยความเสียใจปนผิดหวัง ผมเองก็เสียใจ แต่เขาควรจะรู้ว่าเราต่อสู้ไปก็ไม่มีความหมาย ความรักของเราไม่ได้รับการยอมรับจากใครทั้งนั้น ผมอยากให้เขามีชีวิตที่ดีกว่านี้ แม้ว่าผมจะต้องเดินออกจากชีวิตของเขาก็ตาม

      “ฉันต้องทำแบบนั้นแน่! จุนฮยอง...แกไม่ใช่ลูกของบ้านนี้อีกต่อไป ฉันจะไม่มีวันยอมให้ลูกชายฉันคบกับแก ออกไปจากที่นี่ซะ ไป!

      ผมโค้ง 90 องศาให้พ่อแม่บุญธรรมที่กำลังจะกลายเป็นอดีตก่อนจะหันไปมองฮยอนซึงเป็นครั้งสุดท้าย... อย่าลืมนะฮยอนซึง แม้ว่าฉันจะไม่เคยพูดออกไป แต่ฉันก็รักนาย

      ฉันรักนาย

       

      ผมเก็บกระเป๋าออกจากบ้านตระกูลจาง เดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย ผมไม่มีญาติที่ไหน เพื่อนฝูงที่คบอยู่ส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยว คงไม่มีใครช่วยผมได้มากนัก ตลอดมาในชีวิตผมมีแต่ฮยอนซึง แต่ผมกลับเลือกที่จะปล่อยมือเขาไปง่ายๆ ผมมันโง่จริงๆ ตอนนี้เขาคงถูกขังอยู่ในห้องสินะ เขาจะทรมานมากมั้ย เขาจะได้กินอะไรบ้างหรือเปล่า ผมเป็นห่วงไปหมด

      ผมจะกลับไป...

      ผมจะกลับไปหาฮยอนซึง แต่ไม่ใช่ตอนนี้... ผมจะต้องพิสูจน์ให้พ่อแม่ของเขาวางใจที่ฝากลูกชายของท่านไว้กับมือคู่นี้ของผม ถึงวันนั้น ผมคงจะสามารถบอกรักฮยอนซึงได้อย่างเต็มปากเสียที...

      “ฉัน...คิดถึงนาย”

      “พี่จุนฮยอง!

      ผมรีบเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียก นี่ผมตาฝาดไปหรือเปล่า ฮยอนซึง...เขายืนอยู่ตรงนั้น อีกฟากฝั่งของถนน เขามาที่นี่ได้ยังไง เขาไม่ควรทำแบบนี้ ไม่ควรหนีออกจากบ้านมาแบบนี้

      “จางฮยอนซึง! มาที่นี่ทำไม กลับไปซะ!

      “ผมไม่ไป ถ้าไม่มีพี่ ผมจะอยู่ได้ยังไง!

      “นายต้องอยู่ให้ได้! กลับไปบ้านไปซะ!” แล้วสักวัน...ฉันจะกลับไปหานาย

      “ไม่! ผมจะไปหาพี่”

      ฮยอนซึงวิ่งข้ามฝั่งมาโดยไม่มอง ผมเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่ารถคันหนึ่งกำลังพุ่งตรงเข้ามาหาเขาด้วยความเร็วสูง

      “ไม่นะ! จางฮยอนซึง!

      ผมรีบพุ่งออกไปกลางถนนอย่างไม่คิดชีวิต ยื่นมือออกไปผลักร่างบางนั้นจนล้มกลิ้งไป ผมพยายามเพ่งมองว่าเขาได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า แต่เมื่อร่างนั้นค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นผมก็โล่งใจ ดีจริงๆ ที่เขาไม่เป็นอะไร ดีจริงๆ...

      “พี่จุนฮยอง!!!

      เขาตะโกนเรียกชื่อผมเสียงดัง และรีบวิ่งกะเผลกๆ เข้ามา ดูเหมือนว่าข้อเท้าของเขาจะแพลงนะ ผมคงจะผลักแรงเกินไปหน่อย แต่ก็ดีแล้วที่เขาไม่เป็นอะไรมาก อา...ผมปวดหัวจังแฮะ ขอนอนได้มั้ย...

      “พี่จุนฮยอง!! พี่จุนฮยอง ลืมตาสิ มองผมสิ!!! ฮึก...”

      ฮยอนซึงอา...อย่าร้องไห้...

      “ไม่!!!!!!!!!!! ไม่นะ พี่จุนฮยอง!!!!!!!

      “ฮะ...ฮยอนซึงอา...พี่...” รักนายนะ...

      “ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

      เสียงกรีดร้องของฮยอนซึง...คือสิ่งสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนที่สติจะดับวูบไป

      .

      .

      .

      .

      .

      5 ปีต่อมา...

      โรงพยาบาลกลายเป็นบ้านหลังที่สองของผมไปเสียแล้ว ไม่สิ ผมเข้าออกที่นี่บ่อยยิ่งกว่าบ้านเสียอีก ตอนนี้ผมกลับเข้าไปอยู่ที่บ้านตระกูลจางแล้วล่ะ แต่ก็อย่างที่บอก ผมไม่ค่อยได้อยู่ที่นั่นหรอก ส่วนใหญ่ผมก็อยู่ที่โรงพยาบาลเสียมากกว่า

      “อรุณสวัสดิ์ครับพยาบาลนัม”

      ผมยื่นหน้าเข้าไปทักทายคุณพยาบาลซึ่งนั่งอยู่ในเคาน์เตอร์ เธอเงยหน้าขึ้นจากเอกสารมากมายที่กำลังอ่านอยู่พลางยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร

      “อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณจุนฮยอง”

      “เขา...ตื่นหรือยังครับ”

      เธอคนนี้จำผมได้ดีเพราะผมมาที่นี่บ่อยๆ เธอยิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นหันไปหยิบแฟ้มแล้วเดินออกจากเคาน์เตอร์มาหาผม

      “ตามมาสิคะ”

      ผมเดินตามพยาบาลนัมไปยังโซนห้องพักของผู้ป่วย ระหว่างทางผมได้เจอกับผู้คนมากหน้าหลายตาเหมือนกับที่เจอมาตลอด 5 ปี บางคนผมก็เห็นเขาอยู่ที่นี่มาตลอดไม่เคยไปไหน บางคนก็ดูเหมือนว่าเพิ่งจะย้ายเข้ามาใหม่ พวกเขาเหล่านี้ต้องมีพยาบาลและบุรุษพยาบาลคอยเดินตามอยู่ตลอดเวลา ราวกับนักโทษ...

      “ถึงแล้วค่ะ”

      พยาบาลนัมและผมหยุดอยู่หน้าห้องห้องหนึ่ง หน้าประตูมีป้ายชื่อคนไข้และหมอผู้ดูแล

      “คุณหมอ ยุนอยู่ด้านในแล้ว มีอะไรก็สอบถามได้เลยนะคะ ดิฉันขอตัวไปดูคนไข้ท่านอื่น”

      คุณพยาบาลนัมยิ้มให้ผมอีกครั้ง ผมโค้งขอบคุณเธอก่อนที่เธอจะเดินจากไปทำงานของเธอต่อ ผมยืนสูดลมหายใจเข้าออกอยู่หน้าห้องสักพักก่อนจะเปิดประตูเข้าไป

      คุณหมอ ยืนหันหลังให้ผม ดูเหมือนว่าเขากำลังยืนสังเกตพฤติกรรมของคนไข้อยู่ เพราะเขาเอาแต่จ้องแล้วก็ก้มลงจดอะไรสักอย่างลงในสมุดโน้ต ผมเห็นเขาทำแบบนี้มา 5 ปีแล้ว

      “ดูจุน” ผมเรียกชื่อเขา ร่างนั้นหันมาตามเสียงเรียกก่อนจะยิ้มให้

      “มาแล้วเหรอจุนฮยอง”

      ผมเดินเข้าไปหา ยุนดูจุนซึ่งเป็นเพื่อนสมัยมัธยมที่ตอนนี้เรียนหมอจนจบและมาทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ พอมาอยู่ข้างๆ เขาก็ทำให้ผมได้เห็นคนที่อยู่บนเตียงชัดขึ้น เขาก็ยังเป็นเหมือนที่ผมเห็นในทุกๆ วัน เขานั่งอยู่บนเตียง บนตักมีแล็ปท็อปซึ่งเขากำลังใช้พิมพ์อะไรบางอย่างอย่างขะมักเขม้น

      “เป็นยังไงบ้าง” ผมถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบ

      “เหมือนเดิม...ไม่พูดไม่จา วันๆ เอาแต่นั่งพิมพ์...นิยายเรื่องนั้น”

      “งั้นเหรอ...”

      “แกเข้าไปคุยกับเขาเถอะ เดี๋ยวฉันกลับมาใหม่”

      ดูจุนตบบ่าผมเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ผมก้าวเข้าไปใกล้คนที่อยู่บนเตียง จ้องมองใบหน้าซูบซีดของเขาแล้วยื่นมือออกไปลูบผมของร่างนั้นเบาๆ

      “ฮยอนซึงอา...”

      “...”

      ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่ผมเรียกราวกับเขาไม่รู้สึกถึงตัวตนของผม

      “ฮยอนซึงอา...พี่มาแล้ว”

      “...”

      แกรกๆๆ แกรกๆๆ

      นิ้วผอมๆ ของฮยอนซึงยังคงเคาะอยู่บนคีบอร์ดของแล็ปท็อป นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ตอบรับเสียงเรียกของผมมาตลอด 5 ปี...

      “ฮยอนซึงอา...”

      “อยากเล่นเปียโน...”

      จู่ๆ เขาก็หยุดพิมพ์และหันมามองผม ผมเริ่มมีความหวังอีกครั้งจึงรีบตอบเขาไป

      “พี่จะสอน พี่จะสอนนายเอง ดีมั้ย”

      “ไม่...ไม่ได้...จะให้พี่จุนฮยองสอน...”

      “พี่ไง พี่คือพี่จุนฮยองของนาย จำได้มั้ย พี่จะสอนนายเองนะ...ได้ยินมั้ยฮยอนซึงอา...”

      เขาจ้องผมอยู่พักใหญ่ ในใจของผมได้แต่ภาวนาต่อพระเจ้าทุกองค์บนโลกใบนี้ หากพวกท่านมีจริง...ได้โปรดเถอะ ได้โปรดช่วยให้ฮยอนซึงจำผมได้ที...

      “ไม่...” ร่างนั้นส่ายหน้า หัวใจของผมกระตุกวูบ “ไม่ใช่...พี่จุนฮยอง...”

      “ฉันเอง ฉันคือพี่จุนฮยอง ได้โปรด...จำฉันให้ได้ทีเถอะ”

      “พี่จุนฮยอง...ไม่อยู่แล้ว...” เขาพูดอย่างเลื่อนลอยก่อนจะหันกลับไปพิมพ์สิ่งที่พิมพ์ค้างไว้อีกครั้ง

      “ฮยอนซึงอา...”

      ผมไม่อาจทนมองเขาได้อีกต่อไป ผมซบหน้าลงกับฝ่ามือของตัวเองและร้องไห้อยู่เงียบๆ นี่น่ะเหรอสิ่งที่ผมได้รับ...สิ่งที่ผมได้รับกลับมาจากการที่ช่วยให้เขารอดชีวิตในวันนั้น

       

      หลังจากถูกรถชน ผมก็ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเพราะดวงแข็งหรือโชคช่วยก็ตาม แต่ผมก็รอดจากเหตุการณ์นั้นมาได้ ผมหลับไปสามวันเต็มๆ และเมื่อฟื้นขึ้นมาผมก็พบว่าพ่อแม่บุญธรรมยอมรับในตัวผมแล้ว แน่นอนว่าผมดีใจมาก จนกระทั่งได้เห็นสภาพของฮยอนซึง

      เขาตกใจและเสียใจมากจนช็อกดูจุนรายงานอาการของฮยอนซึงให้ผมฟังสีหน้าเคร่งเครียด

      แล้วไง แล้วยังไง

      เขาจำใครไม่ได้ นอกจากตัวเอง

      แล้วฉันล่ะ เมื่อกี้เขาเรียกชื่อฉัน

      ใช่...มันเป็นชื่อของแก แต่คนที่เขาเรียก คือตัวแกในความทรงจำที่เหลืออยู่ของเขา

      หมายความว่าไง...

      ก็บอกแล้วไงว่าเขาจำใครไม่ได้ทั้งนั้น จิตใจของเขาจมอยู่กับจินตนาการของตัวเอง แกเห็นนิยายนั่นมั้ย แกอ่านนิยายที่เขานั่งพิมพ์ทั้งวันทั้งคืนนั่นหรือยัง...นั่นแหละ ความทรงจำที่เขามีอยู่

       

      ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำพลาดไปตรงไหน ไม่รู้เลยจริงๆ...หรือบางทีผมอาจจะพลาดทั้งหมด พลาดที่ตัดสินใจออกจากบ้านหลังนั้นในวันนั้น พลาดที่ปล่อยมือจากเขา พลาดที่ผลักเขาให้หลบพ้นรถที่กำลังพุ่งมา พลาดที่เอาตัวเข้าไปให้รถชนแทน พลาด...ที่ไม่บอกรักเขา

      ผมเช็ดน้ำตาของตัวเองแล้วหันไปมองฮยอนซึงอีกครั้ง เขายังคงจมอยู่ในโลกของเขา โลกแห่งจินตนาการที่เขาสร้างขึ้นมา โลกที่ผมไม่มีวันเข้าถึง

      “ฮยอนซึงอา...”

      “...”

      “ฉันรักนาย”

      ผมพร่ำพูดคำนี้มาตลอด 5 ปี ฮยอนซึงได้ยินคำนั้นอย่างชัดเจน แต่เขา...ไม่อาจรับรู้ได้อีกแล้ว

       

      되돌리기엔 늦지 않기를 바래 ( 자린 그대로 비워둘게)

      닿을 없이 멀지 않기를 바래 ( 계속 자리에 있을게)

      ผมหวังว่ามันจะไม่สายเกินไปที่จะนำคุณกลับมา...ผมจะเติมเต็มส่วนที่มันว่างเปล่า

      ผมหวังว่าคุณจะไม่หนีไปไกลจนผมไม่สามารถเอื้อมมือถึงคุณได้...ผมจะรอคุณอยู่ตรงนี้

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×